สาม
เช้าวันต่อมา แสงแดดส่องลอดหน้าต่างที่ฝุ่นจับของร้านเข้ามาเป็นลำอ่อนๆ ทั่วพื้นที่ทำงานของฉัน บรรยากาศเงียบสงบ มีเพียงเสียงดินสอขูดเบาๆ กับหน้ากระดาษสมุดสเก็ตช์ภาพ ฉันกำลังออกแบบชุดใหม่อยู่สองสามแบบ พยายามจะสร้างสรรค์ไอเดียสดใหม่ให้ลูกค้า ผลงานชิ้นล่าสุดของฉันคือชุดราตรียาวกรุยกรายปักลวดลายละเอียดอ่อน เป็นของมิสซิสสมิธ ลูกค้าประจำคนสำคัญที่สุดคนหนึ่งของฉัน
เธอจะแวะมาลองชุดในอีกสักพัก ฉันจึงง่วนอยู่กับการปรับแก้รายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ ระหว่างรอ การสเก็ตช์ภาพเป็นที่พักใจของฉันเสมอมา เป็นหนทางให้ฉันได้หลีกหนีจากความเครียดในโลกแห่งความจริงไปสู่โลกของสีสันและผืนผ้า แต่วันนี้ แม้แต่ปลายดินสอของฉันก็ยังรู้สึกกระสับกระส่าย ราวกับมีบางอย่างคุกรุ่นอยู่ในอากาศ
โทรศัพท์ของฉันสั่นดังลั่นอยู่บนเคาน์เตอร์ ดึงฉันออกจากภวังค์ ฉันเหลือบมองหน้าจอแล้วขมวดคิ้ว ชื่อของธีโอปรากฏขึ้นมา ฉันไม่คิดว่าเขาจะโทรมา โดยเฉพาะหลังจากที่เราทะเลาะกันเมื่อคืน
“ฮัลโหล” ฉันรับสาย พยายามรักษาน้ำเสียงให้เป็นกลาง
“เอลล่า” เสียงของธีโอดังลอดมาตามสาย สั่นเครือและตึงเครียด “ฉันต้องการความช่วยเหลือ ได้โปรดเถอะ ตอนนี้ฉันอยู่ที่สถานีตำรวจ”
ท้องไส้ฉันปั่นป่วน “สถานีตำรวจเหรอ ธีโอ เกิดอะไรขึ้น”
“ฉันไม่มีเวลาอธิบายทุกอย่างตอนนี้” เขาพูดรัวเร็ว “แค่...ได้โปรดเถอะ เอลล่า ฉันอยากให้เธอมา”
ความสิ้นหวังในน้ำเสียงของเขาทำให้ฉันรู้สึกเย็นวาบไปทั้งตัว ฉันไม่ถามอะไรต่อ “ฉันกำลังไป” ฉันพูดพร้อมกับคว้ากระเป๋าแล้วปัดสมุดสเก็ตช์ภาพไปข้างๆ
ฉันเกือบจะชนเข้ากับมิสซิสสมิธตอนที่กำลังจะก้าวออกจากประตู หญิงใจดีกะพริบตามองฉันอย่างประหลาดใจพลางกอดกระเป๋าถือไว้แน่น
“มิสซิสสมิธ! ขอโทษจริงๆ ค่ะ” ฉันรีบพูด พยายามตั้งสติ “คือ...มีเรื่องด่วนเข้ามาค่ะ เป็นเรื่องฉุกเฉินของครอบครัว”
แววตาที่เต็มไปด้วยความกังวลของเธอดูอ่อนลง “โอ้ ที่รัก ไม่เป็นไรเลยจ้ะ ครอบครัวต้องมาก่อน ไปจัดการธุระของหนูเถอะนะ”
ฉันพยักหน้าอย่างขอบคุณ “ขอบคุณที่เข้าใจนะคะ เดี๋ยวฉันจะโทรหาทันทีที่กลับมาค่ะ”
หลังจากล็อกร้านเรียบร้อยแล้ว ฉันก็ก้าวออกไปบนถนนที่พลุกพล่านแล้วโบกแท็กซี่ หัวใจฉันเต้นรัวขณะก้าวขึ้นรถ บอกที่อยู่สถานีตำรวจให้คนขับ ตลอดทางรู้สึกเหมือนยาวนานชั่วนิรันดร์ เสียงจอแจและความวุ่นวายตามปกติของเมืองเลือนหายไปในเบื้องหลังขณะที่ความคิดในหัวฉันวิ่งวนไปมา ธีโอไปก่อเรื่องอะไรไว้อีกนะ ทำไมเขาถึงไปอยู่ที่สถานีตำรวจได้ ความเป็นไปได้ต่างๆ ผุดขึ้นในหัว แต่ละอย่างน่าตกใจยิ่งกว่าเดิม
เมื่อรถจอดเทียบหน้าสถานีตำรวจในที่สุด ฉันก็ยื่นธนบัตรยับๆ สองสามใบให้คนขับแล้วรีบวิ่งเข้าไปข้างใน อากาศข้างในอึดอัดตึงเครียด มีทั้งความหงุดหงิดและความไม่สบายใจปะปนกันอยู่ในบริเวณที่รอซึ่งแออัดไปด้วยผู้คน สถานีตำรวจมีกลิ่นกาแฟเก่าๆ กับน้ำยาฆ่าเชื้อผสมกัน ซึ่งเป็นกลิ่นที่ทำให้ฉันประสาทตึงขึ้นมาทันที รองเท้าบูตของฉันกระทบพื้นกระเบื้องเบาๆ ขณะเดินเข้าไปที่โต๊ะประชาสัมพันธ์ ซึ่งมีเจ้าหน้าที่หญิงในเครื่องแบบท่าทางเคร่งขรึมกำลังพิมพ์อะไรบางอย่างลงในคอมพิวเตอร์ ฉันกำกระเป๋าแน่นขึ้น พยายามรักษาน้ำเสียงให้มั่นคง
“ขอโทษนะคะ” ฉันพูดพลางโน้มตัวไปข้างหน้าเล็กน้อย “ฉันมาหาน้องชายค่ะ ธีโอ มอนโทรส เขาถูกพาตัวมาที่นี่เมื่อเช้านี้”
หญิงคนนั้นเงยหน้าขึ้นมาแวบหนึ่ง สีหน้าอ่านไม่ออก “ชื่ออะไรคะ”
“เอลล่า มอนโทรสค่ะ” ฉันตอบเร็ว “ฉันเป็นพี่สาวเขา”
เธอพยักหน้าห้วนๆ แล้วหันกลับไปที่คอมพิวเตอร์ นิ้วรัวอยู่บนแป้นพิมพ์ หัวใจฉันเต้นรัวขณะมองเธอ ยิ่งเธอใช้เวลานานเท่าไหร่ ฉันก็ยิ่งกระวนกระวายมากขึ้นเท่านั้น ฉันเสยผมหยิกที่เริ่มหลุดลุ่ยจากมวยต่ำๆ ที่มัดไว้อย่างลวกๆ เมื่อเช้า ภาพสะท้อนของฉันในกระจกกั้นด้านหลังโต๊ะของเธอก็ไม่ได้ช่วยอะไรเลย ฉันดูโทรมพอๆ กับที่รู้สึก
ในที่สุดเธอก็เหลือบมองฉันอีกครั้ง “เขายังถูกสอบปากคำอยู่ค่ะ คุณต้องรออีกสักพักถึงจะเจอเขาได้”
ฉันถอนหายใจออกมาอย่างสั่นเทา ความหงุดหงิดเริ่มคุกรุ่นอยู่ใต้ผิวหนัง “เขาโอเคไหมคะ อย่างน้อยช่วยบอกหน่อยได้ไหมว่าเกิดอะไรขึ้น”
เธอยกมือขึ้น สีหน้าสงบนิ่งแต่หนักแน่น “คุณคะ ฉันอยากให้คุณหายใจเข้าลึกๆ แล้วใจเย็นๆ น้องชายคุณไม่เป็นอะไร เดี๋ยวคุณก็ได้คุยกับเขา”
ฉันพยักหน้าอย่างแข็งทื่อ กลืนน้ำลายลงคออย่างยากลำบาก “ค่ะ” ฉันพึมพำ พยายามควบคุมอารมณ์
เจ้าหน้าที่ผายมือไปยังบริเวณที่รอ “เชิญนั่งรอก่อนนะคะ เดี๋ยวจะมีคนมาแจ้งให้ทราบเมื่อเขาพร้อม”
“ขอบคุณค่ะ” ฉันพูดเสียงเบา แม้คำพูดจะฟังดูว่างเปล่า ฉันหันหลังแล้วเดินไปยังเก้าอี้พลาสติกตัวหนึ่งที่เรียงรายอยู่ริมผนัง แต่ละตัวดูไม่น่าสบายนั่งพอๆ กัน
ห้องนี้เต็มไปด้วยความวุ่นวายและความเงียบงันปะปนกัน ผู้คนเดินเข้าเดินออก อากาศอบอวลไปด้วยเสียงพึมพำเบาๆ เสียงกระดาษพลิกเป็นครั้งคราว และเสียงโทรศัพท์ดังแผ่วๆ จากที่ไหนสักแห่งในเบื้องหลัง ฉันนั่งลงแล้วเริ่มเคาะเล็บกับที่วางแขนทันที เป็นนิสัยที่แก้ไม่หายเวลาประหม่า
ธีโอไปก่อเรื่องอะไรไว้อีกนะ ฉันนึกถึงบทสนทนาทางโทรศัพท์ของเราซ้ำไปซ้ำมาระหว่างทางมาที่นี่ พยายามปะติดปะต่อเรื่องราวจากข้อมูลน้อยนิดที่มี
ฉันกวาดตามองไปรอบห้อง สายตาไปหยุดอยู่ที่นาฬิกาที่แขวนอยู่สูงบนผนัง เพิ่งผ่านไปแค่สิบนาทีนับตั้งแต่ฉันมาถึง แต่รู้สึกเหมือนนานเป็นชั่วโมง ความคิดในหัวฉันวนเวียนไม่หยุด สลับไปมาระหว่างความกลัว ความโกรธ และความรู้สึกสิ้นหวังอย่างท่วมท้น
ฉันนึกถึงคุณปู่ที่บ้าน ท่านกำลังนั่งอยู่บนเก้าอี้โดยมีถังออกซิเจนส่งเสียงหึ่งๆ อยู่ข้างๆ ท่านยังไม่รู้เรื่องอะไรเลย และแค่คิดว่าจะต้องบอกท่านก็ทำให้ฉันรู้สึกอกจะแตกอยู่แล้ว ท่านกังวลเรื่องธีโออยู่ตลอดเวลา ไม่ว่าฉันจะพยายามปกป้องท่านจากความจริงเกี่ยวกับการตัดสินใจที่น่ากังขาของน้องชายฉันมากแค่ไหนก็ตาม ท่านจะรับมือกับเรื่องนี้ได้อย่างไร
ประตูห้องด้านหลังเปิดออกทันที และเจ้าหน้าที่ในเครื่องแบบคนหนึ่งก็ก้าวออกมาพร้อมกับคลิปบอร์ดในมือ ฉันเงยหน้าขึ้นทันที ความหวังผุดขึ้นมาอย่างห้ามไม่ได้ แต่เขาเรียกชื่อคนอื่นแล้วหายกลับเข้าไปข้างในพร้อมกับผู้มาติดต่ออีกคน ฉันทรุดตัวลงบนเก้าอี้อีกครั้ง ก้มหน้ามองมือตัวเอง
เวลาผ่านไปอย่างเชื่องช้า ฉันหยิบมือถือออกมาเลื่อนดูข้อความ แต่ก็ไม่มีสมาธิจะอ่านอะไรเลย ในหัวฉันเอาแต่คิดวนเวียนอยู่กับเรื่องของธีโอ เขากำลังกลัวอยู่หรือเปล่า เขาจะคิดถึงคุณปู่กับฉันบ้างไหม หรือว่าเขากำลังนั่งอยู่ในห้องนั้นด้วยท่าทีหยิ่งยโสเหมือนเคย ที่เขาใช้เป็นเกราะป้องกันตัวเอง
ความคิดของฉันถูกขัดจังหวะเมื่อผู้หญิงที่โต๊ะประชาสัมพันธ์เรียกชื่อฉัน ฉันรีบลุกขึ้นยืนจนเกือบจะสะดุดขาตัวเองล้ม
“เข้าไปพบเขาได้แล้วค่ะ” เธอบอกพร้อมกับพยักพเยิดไปทางโถงทางเดิน “ตามเจ้าหน้าที่แกรนต์ไปนะคะ”
ชายร่างสูงวัยกลางคนอายุราวสี่สิบเศษปรากฏตัวขึ้นข้างๆ เธอ ใบหน้าดูใจดีแต่อ่อนล้า เขาผายมือเป็นเชิงให้ฉันเดินตามไป และฉันก็ก้าวตามหลังเขาไปตามโถงทางเดินแคบๆ ที่ขนาบข้างด้วยประตูที่ปิดสนิท
เมื่อเรามาถึงหน้าประตูบานหนึ่ง เขาก็หยุดแล้วหันมาหาฉัน “น้องชายของคุณถูกกล่าวหาว่ายักยอกเงินจากที่ทำงาน เขาถูกนำตัวมาสอบสวนเมื่อช่วงเช้าวันนี้”
ฉันอ้าปากค้าง “ยักยอกเงินเหรอคะ” คำๆ นี้ฟังดูแปลกแยกและผิดที่ผิดทางเหลือเกินเมื่อมันมาพ่วงอยู่กับชื่อของน้องชายฉัน ธีโออาจจะบ้าบิ่นและหยิ่งยโสในบางครั้ง แต่เขาไม่ใช่ขโมย เขาไม่มีทางทำเรื่องแบบนี้ได้
เจ้าหน้าที่เปิดประตู และเขาก็อยู่ที่นั่น...ธีโอ นั่งอยู่ตรงโต๊ะเหล็กเรียบๆ กลางห้อง เขาถอดเสื้อสูทออก แขนเสื้อเชิ้ตถูกพับขึ้น เผยให้เห็นท่อนแขนที่เกร็งอยู่บนโต๊ะ ผมที่ปกติจะจัดทรงเรียบกริบกลับยุ่งเหยิง และมีรอยคล้ำใต้ดวงตา
“ฉันขอคุยกับเขาเป็นการส่วนตัวได้ไหมคะ” ฉันถามเจ้าหน้าที่
เขาพยักหน้า “คุณมีเวลาสิบนาที”
“ธีโอ” ฉันเอ่ยเสียงแผ่วขณะก้าวเข้าไปข้างใน
เขาเงยหน้าพรวดเมื่อได้ยินเสียงฉัน และชั่วแวบหนึ่งฉันเห็นประกายแห่งความโล่งใจในแววตาของเขา แต่มันก็หายไปอย่างรวดเร็ว ถูกแทนที่ด้วยท่าทีระแวดระวังที่ฉันไม่คุ้นเคย
“เอลล่า” เขาเอ่ย เสียงแหบพร่า “พี่มาจริงๆ ด้วย”
“พี่ก็ต้องมาสิ” ฉันตอบพลางดึงเก้าอี้ตัวตรงข้ามออกมานั่ง “เกิดอะไรขึ้น นายโอเคไหม”
เขาหัวเราะอย่างขมขื่นแล้วเอนหลังพิงพนักเก้าอี้ “แล้วพี่ว่าผมดูโอเคไหมล่ะ”
ฉันไม่ได้ตอบคำถามนั้น แต่ประสานมือไว้บนโต๊ะแล้วโน้มตัวไปข้างหน้า “ธีโอ คุยกับพี่สิ พี่ต้องเข้าใจว่ามันเกิดอะไรขึ้น”
เขาใช้มือลูบหน้าแล้วถอนหายใจหนักๆ “พวกเขาคิดว่าผมขโมยเงินของบริษัท” เขาพูดในที่สุด “พวกเขาคิดว่าผมยักยอกเงิน”
ฉันจ้องหน้าเขา รอให้เขาพูดต่อ เมื่อเขาไม่พูดอะไร ฉันจึงคาดคั้น “แล้วไง นายทำหรือเปล่า”
ดวงตาของเขาสบตาฉันอย่างรวดเร็ว คมกริบและฉายแววโกรธ “ไม่นะพี่เอลล่า! ผมไม่ได้ทำ ผมไม่ใช่อาชญากร”
“แล้วทำไมพวกเขาถึงคิดแบบนั้นล่ะ” ฉันถาม พยายามรักษาน้ำเสียงให้สงบ “มันต้องมีเหตุผลสิ”
เขาลังเล สายตาทอดลงมองโต๊ะ “เมื่อสองสามสัปดาห์ก่อน เจ้านายเอาเอกสารมาให้ผมเซ็น เขาบอกว่าเป็นแค่เอกสารอนุมัติตามปกติ ไม่มีอะไรสำคัญ ผมไม่ได้ดูด้วยซ้ำ...แค่เซ็นไป”
ฉันรู้สึกหงุดหงิดขึ้นมาวูบหนึ่งแต่ก็ข่มมันเอาไว้ “ธีโอ” ฉันพูดอย่างระมัดระวัง “นายต้องอ่านเอกสารก่อนเซ็นสิ โดยเฉพาะกับงานแบบของนาย”
“ตอนนี้ผมรู้แล้ว!” เขาตวาด เสียงสะท้อนในห้องเล็กๆ เขาทำหน้าเหยเกและลดเสียงลง “ผมรู้แล้ว โอเคไหม แต่มันสายไปแล้ว พวกเขาบอกว่าการโอนเงินได้รับอนุญาตจากผม และผมก็ไม่รู้จะพิสูจน์ได้ยังไงว่ามันไม่ใช่”
“นายคิดว่าเจ้านายวางแผนจัดฉากนายหรือเปล่า” ฉันถาม
เขาได้แต่ยักไหล่อย่างจนปัญญา “ผมไม่รู้ บางที... ทั้งหมดที่ผมรู้คือผมไม่ได้ทำนะพี่เอลล่า พี่ต้องเชื่อผมนะ”
“พี่เชื่อ” ฉันพูดเสียงเบา “แต่เราต้องหาทางพิสูจน์ให้ได้ นายคุยกับทนายหรือยัง”
เขาส่ายหน้า “ไม่มีใครยอมรับทำคดีนี้เลย พวกเขาทุกคนบอกว่ามันเสี่ยงเกินไป หรือไม่ก็ไม่อยากมีเรื่องกับบริษัท”
ฉันกลืนน้ำลายอย่างยากลำบาก หัวใจหล่นวูบ “งั้นเราก็จะหาคนอื่น มันต้องมีใครสักคนที่ยอมช่วยสิ”
ธีโอไม่ตอบ ไหล่ของเขาลู่ลงขณะจ้องมองโต๊ะ เป็นครั้งแรกในรอบนานมากที่เขาดูเปราะบาง...เหมือนน้องชายตัวเล็กๆ ที่ฉันเคยรู้จัก ไม่ใช่หนุ่มนักธุรกิจมาดเนี้ยบที่เขาพยายามจะเป็น
ฉันเอื้อมมือข้ามโต๊ะไปวางทับบนมือของเขา “เราจะผ่านเรื่องนี้ไปด้วยกัน” ฉันพูดอย่างหนักแน่น “พี่สัญญา”
เขามองขึ้นมาสบตาฉัน ดวงตาคลอหน่วย “ผมไม่รู้เลยว่าจะทำยังไงถ้าไม่มีพี่เอลล่า”
“นายก็ไม่ต้องรู้ไง” ฉันพูดพร้อมรอยยิ้มบางๆ ทั้งที่หัวใจหนักอึ้ง “เราเป็นครอบครัวเดียวกันนะ นี่คือสิ่งที่เราทำเพื่อกันและกัน”
เจ้าหน้าที่ปรากฏตัวที่ประตูอีกครั้ง เป็นสัญญาณว่าหมดเวลาแล้ว ฉันบีบมือธีโอเป็นครั้งสุดท้ายก่อนจะลุกขึ้นยืน
“เดี๋ยวพี่จะกลับมาเร็วๆ นี้” ฉันบอกเขา “เข้มแข็งไว้นะ โอเคไหม พี่จะเริ่มหาทนายแล้วกลับมาให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้”
ธีโอพยักหน้า ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความกลัวและความหวังระคนกัน “ขอบคุณครับพี่เอลล่า”
ขณะที่ฉันเดินออกจากสถานีตำรวจ น้ำหนักของสถานการณ์ทั้งหมดก็กดทับลงบนบ่าของฉันอย่างหนักอึ้ง ฉันรู้ว่าการพิสูจน์ความบริสุทธิ์ให้ธีโอไม่ใช่เรื่องง่าย โดยเฉพาะถ้าเจ้านายของเขาเป็นคนจัดฉาก แต่ฉันจะปล่อยให้เขาเผชิญเรื่องนี้คนเดียวไม่ได้ เขาคือครอบครัว และครอบครัวคือทุกสิ่งทุกอย่างสำหรับฉัน
ทนายคนแรกที่ฉันโทรหาปฏิเสธที่จะรับทำคดี โดยอ้างว่ามีผลประโยชน์ทับซ้อนกับบริษัทที่ธีโอทำงานอยู่ ทนายคนที่สองและสามก็พูดเหมือนกัน ความหงุดหงิดเดือดพล่านอยู่ในใจขณะที่ฉันยืนอยู่หน้าสถานีตำรวจ จ้องมองโทรศัพท์ในมือ มันรู้สึกเหมือนประตูทุกบานกำลังปิดใส่หน้าเรา
ฉันพยายามโทรหาอีกสองสามเบอร์ แต่คำตอบก็เหมือนเดิม คือการปฏิเสธอย่างสุภาพและคำขอโทษที่ว่างเปล่า กว่าจะกลับมาถึงร้าน ฉันก็รู้สึกหมดแรง มือฉันสั่นขณะไขกุญแจเปิดประตู กระดิ่งเล็กๆ เหนือประตูส่งเสียงกรุ๊งกริ๊งแผ่วเบา
ฉันทรุดตัวลงนั่งบนเก้าอี้แล้วซบหน้าลงกับฝ่ามือ ตอนนี้ฉันควรจะทำยังไงดี ธีโอต้องการความช่วยเหลือ แต่กลับรู้สึกเหมือนทั้งเมืองกำลังต่อต้านเรา
ส่วนหนึ่งในใจฉันอยากจะกรีดร้อง อยากจะร้องไห้ อยากจะปล่อยให้ความหนักหน่วงท่วมท้นนี้พังทลายฉันลงในที่สุด แต่ฉันทำไม่ได้ ไม่ใช่ตอนนี้ ไม่ใช่ในเวลาที่ธีโอและคุณปู่กำลังฝากความหวังไว้ที่ฉัน
ฉันสูดหายใจเข้าลึกๆ หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาอีกครั้ง แล้วเริ่มค้นหาทนายที่อยู่นอกเมือง จะต้องมีใครสักคนที่เต็มใจรับทำคดีนี้ จะต้องมีใครสักคนที่เชื่อในความบริสุทธิ์ของธีโอมากเท่ากับที่ฉันเชื่อ
